ทัวร์แอฟริกา โมรอคโค มัสยิดคูตูเบีย พระราชวังบาเฮีย สุสานแห่งราชวงศ์ซาเดียน นครสีฟ้าเชฟชาอูน หุบเขาดาเดส ทะเลทรายซาฮาร่า 10 วัน 7 คืน สายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์

19.00 น. คณะพร้อมกัน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ชั้น4 เคาน์เตอร์สาย TURKISH AIRLINES (TK) เจ้าหน้าที่บริษัทต้อนรับและอำนวยความสะดวกเรื่องสัมภาระและเอกสารการเดินทาง
22.45 น. ออกเดินทางไป อิสตันบูล โดยสายการบิน TURKISH AIRLINES เที่ยวบิน TK 69 บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง เวลาที่ตุรกีช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง
05.15 น. เดินทางถึง สนามบินกรุงอิสตันบูล นำท่าน เปลี่ยนเครื่องบิน เพื่อเดินทางต่อไปยัง มาราเกซ ประเทศโมร็อกโก
12.00 น. ออกเดินทางไปยัง มาราเกซ โดยสายการบิน TURKISH AIRLINES เที่ยวบิน TK 617
15.30 น. เดินทางถึง สนามบินนานาชาติมาร์ราเกชเมนารา (Marrakesh Menara Airport) ประเทศโมร็อคโค นำท่านผ่านตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรและรับรับสัมภาระ เวลาที่โมร็อกโกช้ากว่าประเทศไทย 7 ชั่วโมง
จากนั้น นำท่านเดิน ชม กรุงมาราเกซ เมืองท่องเที่ยวที่สําคัญ ตั้งอยู่แถบเชิงเขาแอตลาส ในอดีตเมืองโอเอซิสแห่งนี้เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐ ที่มาจากทางตอนใต้ของโมร็อคโค ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อค้าต่างๆ นอกจากนี้ยังเป็นอดีตเมืองหลวงในช่วงสมัยราชวงศ์อัลโมราวิด ช่วงศตวรรษที่ 11 ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด สภาพบ้านเมืองที่เราเห็นได้คือ สองข้างทางแวดล้อมด้วยบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกําหนดไว้ แต่คนท้องถิ่นจะเรียกว่า Pink City หรือ เมืองสีชมพู อาจกล่าวได้ว่ามาราเกชเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง จึงได้สมญานามว่าเป็น A City of Drama นั่นคือมีความสวยงามดั่งเมืองในละครที่ไม่น่าเป็นชีวิตจริงได้
นำท่านเยือน จัตุรัสกลางเมือง Jemaa - el Fnaa Square ที่มีขนาดใหญ่ รายล้อมไปด้วยอาคาร ร้านค้า ตลาดทั้ง 4 ด้าน เดินเล่นถ่ายรูปความมีชีวิตชีวาที่มีสีสันและกลิ่นอายแบบโมรอคโคขนานแท้ พร้อมจับจ่ายหาซื้อของฝาก ของที่ระลึกพื้นเมืองต่างๆ ได้ที่ ตลาดเก่า (Old Market) ที่อยู่รายรอบจัตุรัสอย่างเพลิดเพลิน
ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม
ที่พัก: Kech Boutique Hotel Marrakech ระดับ 4 ดาว หรือเทียบเท่า
เช้า บริการอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
จากนั้น นำท่านชมความงามของ มัสยิดคูตูเบีย (Koutoubia Mosque) ที่ใหญ่เก่าแก่ที่สุดในเมืองไม่ว่าจะเดินแห่งใดในตัวเมืองก็จะเห็นมัสยิดนี้ได้จากหอวังที่มีความสูง 226 ฟิต (70 เมตร) เสน่ห์ของมัสยิดคูตูเบียไม่เพียงแต่อยู่ที่ขนาดและความสูงของหอคอย แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงงานศิลปะและสถาปัตยกรรมสไตล์อิสลามที่ประณีต การออกแบบด้วยลวดลายเรขาคณิตและองค์ประกอบที่สมดุล บอกเล่าถึงยุคสมัยของอัลโมฮาด (Almohad) ที่เคยรุ่งเรืองมาแล้ว นอกจากนี้ บรรยากาศโดยรอบที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาของตลาดและชุมชนในย่านเก่า ยังเพิ่มสีสันให้กับประสบการณ์การเยี่ยมชมอีกด้วย
นําท่านชม สุสานแห่งราชวงศ์ซาเดียน (Saadian Tombs) เป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์และเหล่าเชื้อพระวงศ์ในสมัยราชวงศ์ซาเดียน สถานที่แห่งนี้ถูกทิ้งร้างมากกว่า 2 ศตวรรษ ภายหลังได้รับการบูรณะ และเปิดให้เข้าชมความงดงามของงานศิลปะแบบมัวริช (Moorish) แท้ๆความวิจิตรอลังการของห้องโถงภายใน เสาคอลัมน์หินอ่อนสีสวย ลวดลายงานปูนที่ประดับประดาบนผนังและเพดาน
นําท่านเดินทางไปเยี่ยมชม พระราชวังบาเฮีย (Bahia Palace) เป็นพระราชวังของท่านมหาอํามาตย์ผู้สําเร็จราชการแผ่นดินแทนยุวกษัตริย์ในอดีต สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดย SiMoussa สถาปัตยกรรมออกเป็นแนวสมัยใหม่ โดยที่ตั้งใจจะให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดในสมัยนั้น แต่ด้วยความที่มีการวางแผนก่อสร้างและตกแต่งอย่างเร่งรีบ จึงเป็นที่วิจารณ์กันว่ารายละเอียดหลายๆอย่างในพระราชวังแห่งนี้ยังไม่สมบูรณ์ลงตัว พระราชวังมีการตกแต่งโดยการแกะสลักปูนปั้น (Stucco) มีการวาดลายบนไม้ และประดับประดาด้วยโมเสกเป็นลวดลายที่สวยงามละเอียดอ่อนมาก
กลางวัน บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร (พื้นเมือง)
จากนั้น นําท่าน เมืองวอซาเซท Ouarzazate ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง เมืองวอซาเซท ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ในปี ค.ศ.1928 ฝรั่งเศสได้ตั้งกองกําลังทหารและพัฒนาที่นี่ให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร วอซาเซทเป็นเมืองถูกส่งเสริมให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่แวดล้อมไปด้วยสตูดิโอภาพยนตร์ และมีการพัฒนาพื้นที่ในทะเลทรายเพื่อการทํากิจกรรมต่างๆ เช่นการขี่มอเตอร์ไซด์ อูฐกิจกรรมผจญภัยกลางทะเลทราย วอซาเซทอาจกล่าวได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่มองหาความแตกต่างและความผจญภัยที่หาไม่ได้จากที่ไหน วอซาเซทเป็นเมืองที่สําคัญที่สุดของทางตอนใต้ และที่นี่ยังเป็นทางเชื่อมระหว่างเหนือกับใต้ และตะวันออกกับตะวันออกสําหรับนักท่องเที่ยวบางคนที่ชอบรสชาติของความเป็นทางใต้ ณ จุดกึ่งกลางแห่งนี้ และยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสํารวจเมืองต่างๆได้ทุกวัน ผ่านเส้นทาง ผ่านทัดเดิร์ตTaddert และช่องเขาทิชกา Tichka เส้นทางที่งดงามตระการตามอบทัศนียภาพอันงดงามของเทือกเขาแอตลาส
นําท่านแวะชม ไอท์ เบน ฮาดดู (Ait Benhaddou) เป็นเมืองที่ชื่อเสียงในเรื่องการหารายได้จากกองถ่ายทําภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง โดยเฉพาะป้อมที่งดงามและมีความใหญ่ที่สุดในโมรอคโคภาคใต้ คือ ป้อมไอท์ เบนฮาดดู “Kasbash of Ait Ben Hadou”เป็นป้อมหินทรายซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์ เป็นปราสาทที่ใช้ในการถ่ายทําภาพยนตร์หลายเรื่องที่โด่งดังอาทิ Lawrence of Arabia, Jesus of Nazarethและ Gladiator ปัจจุบันอยู่ในความดูแลขององค์การยูเนสโก
ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม
ที่พัก: Karam Palace Ouarzazate ระดับ 4 ดาว หรือเทียบเท่า
เช้า บริการอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
นําท่านเดินทางสู่ เมอร์ซูก้า ระหว่างทางชม ป้อมทาเริท (Kasbah Taourirt) เป็นป้อมแห่งตระกูลกลาวี ภายใต้หมู่อาคารขนาดใหญ่ ซึ่งภายในประกอบด้วยห้องต่างๆ จํานวนมากซ่อนอยู่เชื่อมต่อกันด้วยถนนเล็กๆ และเส้นทางลับคดเคี้ยวตามอาคารที่เบียดเสียดกัน
จากนั้น นําท่านเดินทางสู่ ทอดร้ากอร์จ (Todra George) ผ่านทางผ่าน เมืองเอล เคลา เอ็มกูนา (El Kelaâ M'Gouna) ซึ่งเป็นเมืองแห่งกุหลาบ (ท่านสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากกุหลาบได้) พอถึงชมความงามของช่องเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในโอเอซิส ลําน้ำเกลือที่ไหลผ่านช่องเขา กับผาสูงชันแปลกตา จากนั้น นําท่านเดินทางสู่ หุบเขาดาเดส (Dades Gorge) แนวเขาและธรรมชาติของหุบเขาที่ถูกกัดกร่อนจากแรงลม ทําให้หุบเขากลายเป็นรูปร่างต่างๆสวยงาม
แวะชม โอเอซิส “Tinerhir” ชุมชนที่เกาะกลุ่มอยู่รวมกัน ท่ามกลางความแห้งแล้ง ยังมีความชุ่มชื้นของโอเอซิสต้นปาล์ม เคยเป็นที่ตั้งของกองทหารที่เดินทางมาจากวอซาเซท
กลางวัน บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย ออกเดินทางต่อสู่ เออร์ฟอร์ด (Erfoud) ระหว่างทางจะผ่านโอเอซิส การทําระบบชลประทานใต้ดิน (เช่นเดียวกับเส้นทางสายไหมแถบเมืองทรูฟานในประเทศจีน) ….เปลี่ยนรถเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ 4x4 นั่งคันละ 5- 6 คน ให้ทุกท่านนำสัมภาระ (ใบเล็ก) เพื่อเดินทางเข้าไปยังทะเลทรายซาฮาร่า ยังที่พักโรงแรมกลางทะเลทราย เมืองเมอร์ซูก้า (Merzouga) ผ่านเนินทะเลทราย ผ่านภูเขาหิน ที่เต็มไปด้วยซากฟอสซิล ของหอย และ แมงกะพรุนโบราณ ในอดีต เมื่อประมาณ 350 ล้านปีก่อน ดินแดนแห่งนี้เคยอยู่ใต้ท้องทะเลต่อมาเมื่อแผ่นดินผุดขึ้นมา จึงเกิดซากฟอสซิลขึ้นมากมาย
นำท่าน ขี่อูฐชมเพื่อชมพระอาทิตย์ตกดินในทะเลทรายซาฮาร่า ทะเลทรายซาฮาร่า (SAHARA DESERT) เป็นทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลกคือ มีเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร (ใหญ่เท่าอเมริกาทั้งประเทศ) และตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ทะเลทรายซาฮาร่ามีสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์ สัตว์ หรือพืช เพราะฝนตกน้อยมาก และพื้นที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ หากมีสัตว์และพืชพันธุ์ใดที่สามารถเติบโตในทะเลทรายได้ ก็ต้องปรับตัวกันอย่างมาก เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ต้องหาวิธีในการใช้ชีวิตให้อยู่รอดได้ ให้ท่านได้สัมผัสบรรยากาศยามเช้าในทะเลทรายซาฮาร่า จากสภาพการไร้ฝนและอุณหภูมิที่ร้อนจัดในทะเลทรายมีผลทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศเหนือทะเลทราย เกือบเป็นศูนย์ตลอดปี ชมพระอาทิตย์ขึ้นจากบนเนินทราย ซึ่งเป็นภาพที่สวยงาม น่าประทับใจ ได้เวลานำท่านขี่อูฐกลับสู่โรงแรมที่พัก
ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม
ที่พัก: Merzouga Deluxe Camp หรือเทียบเท่า
เช้า บริการอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
นำท่าน นั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อ 4x4 ออกจากทะเลทรายซาฮาร่า มุ่งหน้าสู่ เมืองเออร์ฟูด์ (Erfoud) เปลี่ยนเป็นรถโค้ช..จากนั้นนำท่านเข้าชม พิพิธภัณฑ์ฟอสซิล (The fossil museum) ชมซากหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในอดีต ที่ถูกทับถมไว้ในชั้นหิน เช่น ซากพืช ปลา หอย ไดโนเสาร์ บางชนิดสูญพันธุ์ไปแล้ว บางชนิดยังมีวิวัฒนาการต่อจนถึงปัจจุบัน เช่นบราคิโอพอดที่สูญพันธุ์ไปแล้ว และปะการังมีทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน ฟอสซิลนั้นสามารถบอกอะไรได้หลายอย่างทั้งสภาพแวดล้อมในอดีตว่าสัตว์นั้นๆเคยอยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมอย่างไร บอกลำดับการตกตะกอนของชั้นหินได้ด้วยทั้งยังบอกลำดับการวิวัฒนาการของสัตว์แต่ละชนิด บอกได้ถึงการอพยพโยกย้ายของสัตว์แต่ละกลุ่ม รวมทั้งการเคลื่อนที่ของแผ่นทวีปได้อีกด้วย
จากนั้นได้เวลาพอสมควรออกเดินทางสู่ เมืองเฟซ (FES) เส้นทางผ่านเทือกเขาแอทลาส สองข้างทางเปลี่ยนสภาพจากความแห้งแล้งเป็นป่าไม้พุ่มสลับกับความแห้งแล้งของภูเขา ผ่าน Ziz Valley ก่อนข้าม Middle Atlas นำท่านชม บลูเมสกี (Blue Meski) โอเอซิสกลางทะเลทราย
กลางวัน บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร เมืองมิเดล
บ่าย เดินทางต่อสู่ เมืองเฟส ระหว่างทางแวะชม เมืองอิฟราเน (Ifrane) สวิตเซอร์แลนด์แห่งดินแดนโมร็อคโค เป็นหนึ่งในเมืองที่อยู่ทางตอนเหนือของโมร็อคโค เมืองนี้ถือเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม ในอดีตฝรั่งเศสได้มาสร้างเมืองขึ้นบริเวณนี้ เป็นสถานที่พักผ่อนทั้งฤดูหนาวและฤดูร้อนบ้างก็เรียกเมืองอิเฟรนว่า เจนีวาแห่งโมรอคโค หรือ “สวิตเซอร์แลนด์แห่งโมรอคโค” บ้านส่วนใหญ่มีหลังคาสีแดง มีดอกไม้ และทะเลสาบสวยงาม นำท่านเดินเล่นภายในเมืองและเก็บภาพบรรายากาศอันสวยงามอีกแห่งของโมรอคโค ถ่ายรูปกับอนุสรณ์สิงห์โตหิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนสิงห์โตตัวสุดท้ายที่ถูกล่าจนหมดไปจากเทือกเขาแห่งนี้
จากนั้น นำท่านเดินทางต่อสู่ เมืองเฟส ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 2-3 ชม. เสน่ห์อันสุดแสนจะคลาสสิกของโมร็อคโค ดินแดนแห่งกลิ่นอายทางวัฒนธรรมอันคลาสสิก การย้อนเวลาเพื่อทวงถามถึงประเพณี และวัฒนธรรม เฟส เป็นเมืองแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เขตเมืองเก่าซึ่งเรียกกันว่า “เมดินา” (คำว่า เมดินา แปลว่า เมืองแต่โดยทั่วไปมักหมายถึงเขตเมืองเก่า) เมืองเฟส มีกำแพงเมืองโบราณโดยรอบสีฟ้า (Blue Gate) ซึ่งสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมของศิลปะอิสลาม มีลวดลายกระเบื้องเคลือบด้วยงานเซลลิช สีฟ้าสลับขาว เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปก็เริ่มเป็นตรอกซอกซอยเล็กๆ มากมาย วกวนซับซ้อนอยู่ภายในคล้ายเขาวงกต กล่าวกันว่ามีถึง 1 หมื่นซอย
ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม
ที่พัก: L’Escale Hotel Fes ระดับ 4 ดาว หรือเทียบเท่า
เช้า บริการอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
จากนั้น นำท่านชม ย่านชุมชนชาวยิว Mellah เนื่องจากความเฉลียวฉลาดของชาวยิวทำให้ชาวยิวได้เข้ามามีสำคัญทางด้านการค้าและวัฒนธรรมต่อพื้นที่ในเขตนี้ค่อนข้างมาก ชาวยิวได้รับเกียรติและอีกทั้งยังเป็นโล่ห์ป้องกันการรุกรานของชาวอาหรับในพื้นที่นี้ ที่อยู่อาศัยของชาว ยิวจะมีการก่อสร้างบ้านที่แตกต่างจากคนเมืองเก่าของโมรอกโก โดยจะมีการสร้างบ้านที่มีระเบียงและหน้าต่างที่หันหน้าออกมาทางถนน นำท่านเดินช้อปปิ้งย่านเมดินา นำท่านชม เมเดอร์ซา บูอิมาเนีย (Merdersa Bou Imania) ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนพระคัมภีร์เป็นสถาปัตยกรรมแบบมัวร์ที่สวยงามประณีต
นำชม น้ำพุธรรมชาติ (Nejjarine Fountain) ในจัตุรัสจัตุรัสเนจจารีน เพื่อให้ชาวมุสลิมให้ล้างหน้าล้างมือก่อนเข้าในบริเวณมัสยิด นอกจากนี้ที่ตามซอกมุมอาจเห็นภาพชายสูงอายุหนวดเครารุงรังนั่งแกะสลักไม้ชิ้นเล็กๆอยู่บริเวณตามทางเดินแคบๆในเขตเมืองเก่าบางทีเราก็ยังจะเห็นผู้หญิงที่นี่สวมเสื้อผ้าที่ปิดตั้งแต่หัวจนถึงเท้าจะเห็นได้ก็เฉพาะตาดำอันคมกริบเท่านั้นชม สุเหร่าใหญ่ไคเราวีน (Kairaouine Mosque) ซึ่งเป็นทั้งมหาวิทยาลัยสอนศาสนาแห่งแรกของโมรอคโคและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว (เฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น)
กลางวัน บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย ชมย่านเครื่องหนังและแวะ ชม บ่อฟอกและย้อมสีหนังแบบโบราณประจำเมืองเฟส (Chouara Tannery) ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเฟสและถูกอนุรักษ์โดยองค์กรยูเนสโก
นำชม ประตูพระราชวังหลวงแห่งเฟส (The Royal Palace) ประตูทางเข้าพระราชวังเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยและสง่างาม เป็นเอกลักษณ์แห่งราชวงศ์โมรอคโค บริเวณใกล้เคียงพระราชวังเคยเป็นที่อยู่ของชุมชนชาวยิวที่ทำรายได้ให้แก่ราชวงศ์ เพราะชาวยิวฉลาดทำการค้าเก่ง เป็นพ่อค้าผูกขาดการค้าเกลือ แต่ปัจจุบันชาวยิวส่วนใหญ่ได้เดินทางกลับไปอยู่ในดินแดนแห่งพันธสัญญา (ประเทศอิสราเอล) คงเหลือประชากรชาวยิวอยู่ไม่มากนัก นำท่านนั่งรถชมเมืองเฟส
ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม
ที่พัก: L’Escale Hotel Fes ระดับ 4 ดาว หรือเทียบเท่า
เช้า บริการอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
นำท่าน เดินทางสู่นครสีฟ้า เชฟชาอูน (Chefchaouen) นครสีฟ้าเชฟชาอูน เมืองที่ได้ชื่อว่ามนต์เสน่ห์แห่งโมรอคโค เป็นเมืองเล็กๆตั้งอยู่ในหุบเขาริฟ (Rif Mountain) ประวัติความเป็นมาของเมืองนั้นยาวนานกว่า 538 ปี เมืองนี้เคยอยู่ใต้การปกครองของสเปน และได้รับอิสรภาพในปี ค.ศ.1956 จนได้รับอิทธิพลวิถีชีวิตและภาษาสเปนในปัจจุบันนี้
ระหว่างทางผ่านเมือง เมืองเมคเนส (Meknes) ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น "แวร์ซายแห่งโมร็อกโก" ก่อตั้งขึ้นช่วงปลายศตวรรษที่ 17 โดยสุลต่านมูเลย์ อิสมาอิล ระหว่างทาง พาท่านแวะชมเยี่ยมชม ประตูบับ เอล มันซูร์ (Bab El Mansour) ซึ่งถือว่าเป็นประตูเมืองที่งดงามที่สุดของโมร็อกโก เมืองเมคเนส (Meknes) หนึ่งในเมืองมรดกโลกรับรองโดยยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ.1996 อดีตเมืองหลวงในสมัยสุลต่าน มูเล อิสมาอิล (Mouley Ismail) แห่งราชวงศ์อะลาวิท (Alawite Dynasty) ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์จอมโหดผู้ชื่นชอบการทำสงครามในช่วงศตวรรษที่ 17 ด้วยทำเลที่ตั้งที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง เมกเนสจึงเป็นเมืองศูนย์กลางการผลิตมะกอก ไวน์ และพืชพรรณต่างๆ มีกำแพงเมืองล้อมรอบเมืองเก่าที่ยาวประมาณ 40 กม. ซึ่งมีประตูเมืองใหญ่โตถึง 7 ประตู
และแวะชม เมืองโบราณโรมันโวลูบิลิส (Roman city of Volubilis) ที่ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี ค.ศ. 1755 แต่ยังคงเห็นได้ถึงร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต อดีตเมืองโบราณแห่งจักรวรรดิโรมันแห่งนี้มีความสำคัญยิ่งในยุคศตวรรษที่ 3 และล่มสลายถูกปล่อยเป็นเมืองร้างในศตวรรษที่ 11 เมืองโรมันโบราณแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1997
กลางวัน บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
จากนั้น เดินทางต่อสู่ไป สู่นครสีฟ้า เชฟชาอูน (Chefchaouen) เป็นเมืองเล็กๆตั้งอยู่ในหุบเขาริฟ (Rif Mountain หรือ Er-Rif) ประวัติความเป็นมาของเมืองนั้นยาวนานกว่า 540 ปี ในอดีตก่อนที่โมรอคโคจะได้รับเสรีภาพในการปกครองประเทศทั้งหมดใน ปี 1956 เมืองเชฟชาอูนเคยอยู่ใต้การปกครองของสเปนมาก่อน และจนบัดนี้ประชากรที่มีประมาณ 40,000 คน ก็ยังคงใช้ภาษาสเปนกันอย่างแพร่หลาย อากาศบริสุทธิ์และความสะอาดของเมืองเชฟชาอูนได้สร้างบรรยากาศผ่อนคลายสบายๆที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่เหนื่อยล้ามาจากการตระเวนเที่ยวที่เมืองอื่นหายเหนื่อยได้ สำหรับท่านที่ชื่นชอบในสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโค
ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม
ที่พัก: Parador Hotel Chefchaouen ระดับ 4 ดาว หรือเทียบเท่า
เช้า บริการอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
จากนั้น พาชม เมืองเชฟชาอูน (Chefchaouen) นำท่านเดินชม Unseen เมืองสีฟ้า เก่าแก่ แปลกแต่สวย! เชฟชาอูน มีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติสวยงาม และมีสถาปัตยกรรมที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีเสน่ห์และมีชื่อเสียงมากที่สุดด้วยความโดดเด่นของอาคารบ้านเรือนที่ทาเป็นสีฟ้าทั้งหมด ถือว่าเป็นสวรรค์ของคนรักสีฟ้าและสีขาว โดยเฉพาะสีฟ้า
ประวัติเมืองเชฟชาอูน นครสีฟ้า กล่าวว่า เมืองนี้ถูกตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1471 เพื่อเป็นเมืองป้อมปราการของชาวมัวร์ และยิวที่ถูกขับออกจากประเทศสเปนในยุคกลางด้วยเหตุผลทางศาสนา สาเหตุที่เมืองเชฟชาอูนขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองสีฟ้า ริเริ่มโดยชาวยิวที่อพยพมาตั้งรกรากในช่วงยุค 1930 ด้วยความเชื่อว่า "สีฟ้า" เป็นสัญลักษณ์ของ เทพเจ้า เป็นสีของท้องฟ้าและทะเล ท้องฟ้าและสวรรค์ นั่นเอง
นั่นก็เพราะว่าเชฟชาอูนเป็นเมืองที่บ้านเรือนเกือบทุกหลังเป็นสีขาว และมีครึ่งล่างไปจนถึงบริเวณถนน บันได และทางเดิน เป็นสีฟ้าสดใสเหมือนวันที่ท้องฟ้าไร้เมฆ ประกอบกับอากาศบริสุทธิ์และความสะอาดของเมืองได้สร้างบรรยากาศผ่อนคลายสบายๆที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่เหนื่อยล้ามาจากการตระเวนเที่ยวที่เมืองอื่นหายเหนื่อยได้ สำหรับท่านที่ชื่นชอบในสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโค ไม่ควรพลาดเมืองเล็ก ๆ ที่บ้านเรือนทาทาบด้วยสีฟ้าและสีขาวแห่งนี้ทีเดียว
กลางวัน บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
จากนั้น นำท่านออกเดินทางสู่ เมืองราบัต (Rabat) เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรโมรอคโค นำท่านชมเมืองราบัตเมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรโมรอคโคมาตั้งแต่ปีค.ศ.1956 เมื่อโมร็อคโคหลุดพ้นจากการเข้าแทรกแซงทางการเมืองของฝรั่งเศส เป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวง และทำเนียบทูตานุทูตจากต่างแดน เป็นเมืองสีขาวที่สะอาดและสวยงาม กษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งมีทหารยามยืนเฝ้าสง่าทุกประตู และเปิดให้คนทุกชาติทุกศาสนาเข้าไปเคารพพระศพที่ฝังอยู่เบื้องล่าง ด้านหน้าของสุสานคือสุเหร่าฮัสซันที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 แต่ไม่สำเร็จ และพังลงจนเหลือแต่เพียงเสาไว้ 365 ต้น ในบริเวณกว้าง 183x139 เมตร
นำชม สุสานฮัสซัน (Hassan tower) แต่ถึงแม้จะออกมาสวยงามเพียงใด สุสานแห่งนี้หรือหอคอยแห่งนี้นั้นก็อยู่ได้ว่าเป็นสุเหร่าที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี ด้วยความตั้งใจเดิมนั้นมีความตั้งใจอยากจะให้สุเหร่าแห่งนี้เป็นสุเหร่าที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ถึงอย่างนั้นในปี 1199 การก่อสร้างก็หยุดลง แม้จะมีการก่อสร้างกำแพงโดยรอบและเสาอีก 348 เสา พร้อมกับหอคอย แต่ถึงอย่างนั้น สุเหร่าแห่งนี้ก็ไม่ได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้นการตั้งอยู่ใกล้กับ สุสานกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 ก็ทำให้สถานที่แห่งนี้นั้นจัดไปอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว ที่น่าไปเยือนของประเทศโมร็อคโค
สุสานกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 (The tomb of Mohamed V) สุสานแห่งนี้นั้นเป็นสุสานของพระอัยกา ของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน แน่นอนว่าจะต้องเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งที่เมื่อมีโอกาสเดินทางไปถึงแล้วคุณจะได้พบกับเหล่าบรรดาทหารองครักษ์ที่ประจำการอยู่ที่ประตูทางเข้าแต่เมื่อมองข้ามกำแพงไปแล้วนั้นก็จะพบกับสถาปัตยกรรมที่มีความสวยงามโดดเด่นของตัวอาคารสีขาวครีมกับยอดหลังคาสีฟ้า พี่บอกได้เลยว่ามีความสวยงาม สถานที่แห่งนี้เปิดให้ประชาชนทุกคนและทุกชนชาติทุกศาสนา เข้าไปเคารพพระศพที่ฝังอยู่เบื้องล่าง
นำท่านชม ป้อมอูดายา (Oudayas Fortress) ป้อมขนาดใหญ่ 2 ชั้น ที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ่ เป็นป้อมที่สเปนสร้างขึ้นเมื่อสมัยที่สเปนยึดครองโมรอคโค ด้านในมีสวนดอกไม้แบบสเปน และเป็น เมดิน่า หรือชุมชนชาวเมืองซึ่งเต็มไปด้วยบ้านเรือนทาทาบด้วยสีฟ้า-ขาว บรรยากาศริมทะเลคล้ายเมืองซานโตรินี นับเป็นหนึ่งในป้อมปราการที่สำคัญของโมรอคโคในอดีตใช้ป้องกันข้าศึกจากการรุกรานทั้งจากประเทศที่ล่าอาณานิคมและในยุคที่โจรสลัดชุกชุม ท่านสามารถชมสวนอูดายา (Oudaya Garden) เพื่อชมวิวแม่น้ำ ทะเล และเมืองซาเล่ (Salé).....นำท่านเดินทางต่อไปยังเมืองคาซาบลังกา
ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม
ที่พัก: Diwane Hotel Casablanca ระดับ 4 ดาว หรือเทียบเท่า
เช้า บริการอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
จากนั้น นำท่านชม สุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 (Mosque of Hassan II) เป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเมืองเมกกะ สุเหร่านี้งดงามประณีตด้วยสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโคทุกแขนง สามารถจุผู้คนที่เข้าร่วมพิธีทางศาสนาอิสลามได้ร่วม 80,000 คน โดยแยกเป็นภายในสุเหร่า 25,000 คน ภายนอกอีก 55,000 คน ชมทิวทัศน์รอบๆ สุเหร่าอันเป็นจุดชมวิวริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนที่สวยงามของชาวโมรอคโคที่ชอบมาเดินเล่นหลังจากปฏิบัติศาสนกิจเสร็จแล้ว
ชม เมืองคาซาบลังก้า ผ่านย่านธุรกิจสำคัญ จัตุรัสสหประชาชาติ ผ่านชมย่านบ้านพักตากอากาศริมมหาสมุทรแอตแลนติคซึ่งเป็นย่านที่เศรษฐีและผู้มีฐานะทางสังคมนิยมมาอยู่กันรวมถึงกษัตริย์ซาอุดิอารเบียก็มาสร้างวังพร้อมทั้งมีมัสยิดและหอสมุดส่วนพระองค์ ชมวิวทิวทัศน์ของมหาสมุทรแอตแลนติก นำท่านไปยัง ถนนคอร์นิช บูเลอวาร์ด (Corniche Boulevard)
กลางวัน บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
14.00 น. นำท่านเดินทางสู่สนามบิน
16.50 น. ออกเดินทางไปยังอิสตันบูล โดยสายการบิน TURKISH AIRLINES เที่ยวบิน TK 618
23.30 น. เดินทางถึง สนามบินกรุงอิสตันบูล // เปลี่ยนเครื่องบิน เพื่อเดินทางต่อไปยัง กรุงเทพฯ
01.40 น. ออกเดินทางไปยัง กรุงเทพฯ โดยสายการบิน TURKISH AIRLINES เที่ยวบิน TK 68
15.25 น. เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ
************************
หมายเหตุ โปรแกรมสามารถปรับเปลี่ยนได้ให้เหมาะสมกับเวลาและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และ รูปภาพใช้ในการอธิบายโปรแกรมเท่านั้น
กำหนดการ : 07-17 ธ.ค. , 10-20 ก.พ. | ||
---|---|---|
ลักษณะการเข้าพัก | ราคาทัวร์ รวมตั๋ว(บาท/ท่าน) | ราคาทัวร์ ไม่รวมตั๋ว(บาท/ท่าน) |
ผู้ใหญ่ พักห้องคู่ ราคาท่านละ | 88,800 | - |
เด็ก พักกับผู้ใหญ่ 1 ท่าน ราคาท่านละ | 88,800 | - |
เด็ก พักกับผู้ใหญ่ 2 ท่าน (มีเตียง) ราคาท่านละ | 88,800 | - |
เด็ก พักกับผู้ใหญ่ 2 ท่าน (ไม่มีเตียง) ราคาท่านละ | 88,800 | - |
ผู้ใหญ่ ต้องการพักห้องเดี่ยว ราคาท่านละ | 98,300 | - |
ผู้ใหญ่ 3 ท่าน พัก 1 ห้อง ราคาท่านละ | 88,800 | - |
เดือนธันวาคม 68 | ผู้ใหญ่ | เด็ก | ||||
---|---|---|---|---|---|---|
วันที่เดินทาง | พักคู่ ท่านละ | พักเดี่ยว ท่านละ | พักสาม ท่านละ | เด็ก ท่านละ | มีเตียง ท่านละ | ไม่มีเตียง ท่านละ |
88,800 | 98,300 | 88,800 | 88,800 | 88,800 | 88,800 |
เดือนกุมภาพันธ์ 69 | ผู้ใหญ่ | เด็ก | ||||
---|---|---|---|---|---|---|
วันที่เดินทาง | พักคู่ ท่านละ | พักเดี่ยว ท่านละ | พักสาม ท่านละ | เด็ก ท่านละ | มีเตียง ท่านละ | ไม่มีเตียง ท่านละ |
88,800 | 98,300 | 88,800 | 88,800 | 88,800 | 88,800 |